ผ้าไหมยกทองสุรินทร์
ผ้าไหมยกทอง เป็นการทอผ้าไหมที่ใช้ลักษณะการทอยกให้ลวดลายสูงกว่าพื้นผ้าด้วยเส้นพุ่ง ซึ่งมีลักษณะการทอเหมือนกับผ้าจกโดยทั่วไป แต่การทอผ้ายกทองจะต้องใช้ความปราณีตอย่างสูงกว่า ซึ่งถือเป็นผ้าที่หาซื้อได้ยาก และราคาแพง นิยมใส่ในกลุ่มชนชั้นสูง และในวังหลวง สำหรับลวดลายของผ้ายกทองมักใช้ลวดลายที่ปรากฏอยู่ในศิลปกรรมไทยแขนงต่างๆ และบางลวดลายมีใช้เฉพาะในพระราชพิธีสำคัญในพระราชวังเท่านั้น สำหรับลายผ้ามักประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. ส่วนเชิงผ้า คือ ส่วนที่อยู่ตรงขอบผ้ามักจะใช้ลวดลายที่แตกต่างไปจากลายของท้องผ้าในลักษณะที่ช่วยเสริมลายของท้องผ่าให้ดูเด่นขึ้น
2. ส่วนท้องผ้า คือ ส่วนที่อยู่ตรงกลางของผ้าถัดจากขอบผ้า มักเป็นลายซ้ำซ้อนกันตลอดทั้งท้องผ้า
การจัดวางองค์ประกอบของลวดลายผ้ายก
1. การจัดลายผ้าแบบมีกรอบมีเชิง ประกอบด้วยส่วนท้องผ้า สังเวียน และกรวยเชิง ผ้ายกกลุ่มนี้พบหลายขนาด แตกต่างกันตามหน้าที่ใช้สอย ได้แก่ ใช้เป็นผ้านุ่ง หรือใช้เป็นผ้าคาดเอวบุรุษ
2. การจัดลายผ้าแบบมีเชิงไม่มีกรอบ ประกอบด้วยส่วนท้องผ้า และกรวยเชิง ส่วนใหญ่ใช้เป็นผ้านุ่ง
3. การจัดลายผ้าแบบมีกรอบไม่มีเชิง ประกอบด้วยส่วนท้องผ้าโดยมีสังเวียนล้อมท้องผ้าทั้ง 4 ดาน ส่วนใหญ่ใช้เป็นผ้าสำหรับปูลาด ไมนิยมนำมานุ่ง การจดองค์ประกอบเช่นนี้ อาจได้รูปแบบมาจากพรม
4. การจัดลายผ้าแบบไมมีกรอบไม่มีเชิง แบ่งออกเปน
– ลายผ้าที่สั่งทอเป็นพับสำหรับตัดเสื้อ กางเกงหรือกระโปรง ตลอดจนใช้ตัดเย็บเป็นสิ่งของเครื่องใช้ตางๆ
– ลายผ้าที่ทอเป็นผืน แตกต่างกันตามหน้าที่ใช้สอย ไดแก่ ผ้านุ่งขนาด กว้าง 90 เซนติเมตร ยาว 1 เมตร ผาหม กวาง 70 เซนติเมตร ยาว 1.85 เมตร เปนตน
สำหรับลวดลายที่ใช้ ได้แก่
ลายสัตว์หิมพานต์
ลายดอกพุดตาน เป็นลายโบราณสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งหมายถึงความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ
ลายดอกพุดตาน
ลายดอกพุดวงกลม ยกด้วยลายสัตว์หิมพานต์ เป็นการผสมระหว่างลายดอกพุดวงกลมกับลายสัตว์หิมพานต์ อาทิ
ลายดอกพุดวงกลม ยกด้วยลายช้าง
ขั้นตอนการทอผ้ายกทอง
1. การค้นเส้นยืน เป็นการเตรียม เส้นยืน ด้วยการนำเส้นไหมที่ผ่านการลอกกาว และย้อมสีแล้วมาจัดเรียงด้วยการกรอด้วยกง และอัก และนำมาค้นเส้นยืนด้วยหลักเฝือเพื่อให้ได้เส้นยืนที่มีการจัดอย่างเป็น ระเบียบ และได้ความยาวตามต้องการก่อนนำเข้าฟืมต่อไป
2. การเตรียมฟืมทอผ้า เป็นการนำเส้นยืนจัดเข้าฟันหวีของฟืม โดยแต่ละช่องจะมีเส้นไหมไม่เกิน 2 เส้นเท่านั้น เพื่อให้เกิดความละเอียดของเนื้องานมากที่สุด
3. การเตรียมเส้นพุ่ง เส้นพุ่งที่ใช้ เป็นเส้นไหมที่ผ่านการลอกกาว และย้อมสีแล้ว ซึ่งในกรณีการทอผ้ายกทองจะใช้เส้นพุ่งที่ย้อมด้วยสีทองเป็นสำคัญ
4. การทอลวดลาย การทอผ้ายกทองก็เหมือนกับการทอผ้าจกหรือผ้าแพรวา แต่จะให้ความปราณีมากกว่า ใช้ระยะเวลาในการทอนานกว่า 1 ถึง 2 เดือน
หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทอง จันทร์โสมา สุรินทร์
หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทอง จันทร์โสมา ตั้งอยู่ที่ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมืองสุรินทร์ บ้านท่าสว่าง หมู่บ้านที่ได้รับการยกย่องว่า”ทอผ้าไหมหนึ่งพันสี่ร้อยสิบหกตะกอ” เมื่อครั้งทอผ้ายกทองทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ จากการริเริ่มผลงานศิลปหัตกรรมของกลุ่มทอผ้ายกทอง”จันทร์โสมา” ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูการทอผ้ายกทองชั้นสูงแบบราชสำนักไทย โบราณ โดยมี อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย เป็นแกนนำและเป็นผู้รวบรวมชาวบ้านท่าสว่างมารวมกลุ่มกันทำงานทอผ้ายามว่าง จากงานไร่งานนาด้วยการออกแบบลวดลายที่สลับซับซ้อนงดงามและ ศักดิ์สิทธิ์ผสมผสานกันระหว่างลวดลายการทอแบบราชสำนักกับเทคนิคการทอผ้าแบบ พื้นบ้าน จนกลายเป็นผ้าทอที่มีความงดงามอย่างมหัศจรรย์และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว โลก ผลงานที่โดดเด่นของที่นี่คือการได้รับการคัด เลือกจากรัฐบาลให้ทอผ้าสำหรับตัดเสื้อผู้นำและผ้าคลุมไหล่สำหรับคู่สมรสผู้ นำ 21 เขตเศรษฐกิจที่มาร่วมประชุมผู้นำเอเปกเมื่อปลายปี 2546 จนเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในชื่อ”หมู่บ้านทอผ้าเอเปก”และรางวัล OTOP ระดับ 5 ดาว ของประเทศความโดดเด่นของผ้าไหมยกทอง “จันทร์โสมา” เกิดจากการเลือกเส้นไหมน้อยที่เล็กและบางเบานำมาผ่านกรรมวิธีฟอก ต้มแล้วย้อมสีธรรมชาติด้วยแม่สีหลักสามสีคือสีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแลและสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทองที่ทำจากเงินแท้มารีดเป็นเส้นเล็ก ๆ ปั่นควบกับเส้นด้าย ใช้ตะกอเส้นพุ่งพิเศษที่ทำให้เกิดลายจำนวนตะกอมากกว่าร้อยตะกอ จนกระทั่งการวางกี่บนพื้นดินธรรมดามีความสูงไม่พอ ต้องขุดดินบริเวณนั้นให้เป็นหลุมลึกไป 2-3 เมตร เพื่อรองรับความยาวของตะกอที่ห้อยลงมาจากกี่ให้เป็นระเบียบ ให้คนสามารถอยู่ในหลุมเพื่อสอดตะกอไม้ได้ด้วย เนื่องจากไม้ตะกอมีจำนวนมาก จึงต้องใช้คนทอถึง 4-5 คน คือจะมีคนช่วยยกตะกอ 2-3 คน คนสอดไม้ 1 คนและคนทออีก 1 คน และความซับซ้อนทางด้านเทคนิคการทอ จะได้ผลงานเพียงวันละ 6-7 เซนติเมตรเท่านั้น